มะเร็งปากมดลูก ควรตรวจแบบไหนถึงเหมาะกับคุณ
ในปัจจุบันผู้หญิงจำนวนมากต้องเผชิญกับภาระหน้าที่หลายด้าน ทั้งการทำงาน การดูแลครอบครัว และความกดดันในชีวิตประจำวัน ทำให้การดูแลสุขภาพของตนเองมักถูกมองเป็นเรื่องรอง แม้ว่ามะเร็งปากมดลูกจะเป็นโรคที่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกและมีโอกาสรักษาหายสูง แต่หลายคนยังลังเลหรือไม่กล้าเข้ารับการตรวจคัดกรอง ด้วยเหตุผลหลากหลาย เช่น ความกังวลเรื่องความเจ็บปวด ความเขินอาย หรือความไม่เข้าใจเกี่ยวกับวิธีตรวจที่มีอยู่ นอกจากนี้ข้อมูลที่มีอยู่มากมายและแตกต่างกันยังทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่แน่ใจว่าควรเลือกวิธีตรวจแบบใด
วิธีตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
1. Pap Smear เป็นวิธีตรวจแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมายาวนาน โดยเก็บเซลล์จากปากมดลูกแล้วนำไปตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่อาจพัฒนาไปเป็นมะเร็งในอนาคต
ข้อดี
- ค่าใช้จ่ายไม่สูง
- ทำได้ง่ายและใช้กันอย่างแพร่หลาย
- เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยตรวจมาก่อน
- พบความผิดปกติระดับต้นๆ ได้
ข้อควรทราบ
- อาจพลาดความผิดปกติที่มีขนาดเล็กหรืออยู่ลึก
- คุณภาพตัวอย่างขึ้นอยู่กับเทคนิคของผู้เก็บ
- ควรตรวจซ้ำทุก 6 เดือน – 1 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสพบความผิดปกติ
- ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุโดยตรง (เช่น เชื้อ HPV)
2. ThinPrep เป็นเทคนิคที่พัฒนาต่อยอดจาก Pap Smear โดยนำเซลล์ที่เก็บได้ไปแช่น้ำยาพิเศษ ทำให้ได้ตัวอย่างที่มีความชัดเจนและลดความผิดพลาดจากเซลล์ซ้อน
ข้อดี
- ให้ผลแม่นยำกว่า Pap Smear
- ลดโอกาสพลาดความผิดปกติ
- ตัวอย่างมีความชัดเจน ทำให้แพทย์อ่านผลได้ง่าย
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการตรวจแบบมีความละเอียดมากขึ้น
- ใช้ในหลายประเทศเป็นมาตรฐาน
ข้อควรทราบ
- ราคาสูงกว่า Pap Smear
- แนะนำตรวจทุก 1 ปี
- แม้แม่นยำกว่า แต่ยังไม่สามารถตรวจหาสาเหตุได้โดยตรง
3. HPV-Cobas เป็นการตรวจหาเชื้อ Human Papillomavirus (HPV) แบบเจาะจง โดยตรวจชนิดของเชื้อที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็ง
ข้อดี
- แม่นยำสูงที่สุดในบรรดาวิธีตรวจ
- ตรวจพบเชื้อก่อนที่เซลล์จะผิดปกติ
- สามารถแยกชนิดเชื้อ HPV ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น HPV16, HPV18
- ช่วยประเมินความเสี่ยงในระยะยาว
- ทำให้สามารถวางแผนตรวจติดตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรทราบ
- ราคาสูง
- ไม่ตรวจดูความผิดปกติของเซลล์โดยตรง
- แพทย์มักแนะนำตรวจร่วมกับ ThinPrep เพื่อดูทั้ง “เชื้อ” และ “ความผิดปกติของเซลล์”
และถ้าตรวจพบเชื้อ HPV หรือความผิดปกติ จะทำอย่างไรต่อ?
- หากพบเชื้อ HPV แต่ยังไม่พบความผิดปกติของเซลล์ → มักให้ติดตามตรวจซ้ำใน 6–12 เดือน
- หากพบความผิดปกติของเซลล์ → อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น colposcopy
- หากพบรอยโรคชัดเจน → อาจรักษาด้วยการตัดชิ้นเนื้อหรือวิธีอื่นๆ
- ส่วนใหญ่ความผิดปกติระยะต้นสามารถรักษาได้ง่าย
มะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV เป็นเวลานานหลายปี หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก โอกาสหายมีสูงมาก การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด