การช่วยชีวิตฉุกเฉิน ด้วยเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า AED
ในชีวิตประจำวัน เหตุการณ์ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ห้างสรรพสินค้า หรือระหว่างออกกำลังกาย หลายครั้งผู้ที่ดูแข็งแรงอาจเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันขึ้นอย่างกะทันหัน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันทีภายในไม่กี่นาที โอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างรวดเร็ว
“เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED)” จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทุกคนควรรู้จักและสามารถใช้ได้ เพราะเครื่องนี้สามารถช่วยฟื้นการเต้นของหัวใจให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง การเรียนรู้การใช้เครื่อง AED ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความพร้อมให้เราเป็น “ผู้ช่วยชีวิต” ได้ในยามฉุกเฉินจริงๆ
รู้จักกับ “เครื่อง AED”
เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator : AED) คือ เครื่องมือช่วยชีวิตผู้ที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยเครื่องจะทำการ วิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจ และ สั่งให้ช็อกไฟฟ้าเมื่อจำเป็น เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติอีกครั้ง
ปัจจุบันเครื่อง AED ได้ถูกติดตั้งในที่สาธารณะหลายแห่ง เช่น สนามบิน ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา โรงแรม และสถานที่ราชการ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถใช้ช่วยชีวิตได้อย่างทันท่วงที ก่อนทีมแพทย์จะมาถึง
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest)
ภาวะนี้คือ ภาวะที่หัวใจหยุดบีบตัวอย่างกะทันหัน ทำให้เลือดไม่สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญได้ ผู้ป่วยจะหมดสติ ไม่หายใจ และไม่มีชีพจร
หากไม่ได้รับการช่วยเหลือภายใน 4 นาที สมองจะเริ่มขาดออกซิเจนและเกิดความเสียหายถาวรได้
การช่วยชีวิตเบื้องต้น (CPR) ร่วมกับการใช้เครื่อง AED อย่างรวดเร็ว ภายใน 3-5 นาทีแรก จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากกว่า 70%
ขั้นตอนการใช้เครื่อง AED อย่างถูกต้อง
1. เปิดเครื่อง AED
- เปิดเครื่องและ ฟังคำแนะนำจากเสียงเครื่อง เครื่องจะมีเสียงบอกขั้นตอนทีละลำดับอย่างชัดเจน
- หากเป็นรุ่นมีหน้าจอ จะมีภาพหรือข้อความแสดงให้ดูด้วย
2. ติดแผ่นนำไฟฟ้า (Electrode Pads)
- เปิดเสื้อผู้ป่วยให้เห็นหน้าอกชัดเจน
- เช็ดเหงื่อหรือน้ำออก (หากมี) เพื่อให้แผ่นติดแน่น
- ติดแผ่นนำไฟฟ้า 2 แผ่นดังนี้
- แผ่นที่ 1 : วางใต้กระดูกไหปลาร้าด้านขวา
- แผ่นที่ 2 : วางบริเวณชายโครงด้านซ้าย (ใต้รักแร้ซ้ายเล็กน้อย)
- แผ่นจะมีภาพแสดงตำแหน่งให้ดู
ห้ามติดทับเครื่องกระตุ้นหัวใจเทียม (Pacemaker) หรือบริเวณที่มีบาดแผลเปิด
3. ให้เครื่องวิเคราะห์จังหวะหัวใจ
- เครื่องจะเริ่ม “วิเคราะห์จังหวะหัวใจ” โดยอัตโนมัติ
- ในช่วงนี้ ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วยเด็ดขาด เพราะจะรบกวนการวิเคราะห์ของเครื่อง
- เครื่องจะแจ้งผลว่า
- “ไม่ควรช็อกไฟฟ้า” → ให้เริ่มทำ CPR ต่อทันที
- “ควรช็อกไฟฟ้า” → เครื่องจะเตือนให้กดปุ่ม “SHOCK”
4. ช็อกไฟฟ้า (Defibrillation)
- เมื่อเครื่องแจ้งให้ช็อกไฟฟ้า ให้ ตรวจสอบความปลอดภัยก่อนกดปุ่ม
- ตะโกนเสียงดังว่า “ฉันถอย คุณถอย ทุกคนถอย”
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครสัมผัสตัวผู้ป่วย - จากนั้นกดปุ่ม “SHOCK” เพื่อช็อกไฟฟ้า
การช็อกไฟฟ้าจะส่งกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจ เพื่อกระตุ้นให้หัวใจกำหนดจังหวะการเต้นใหม่อีกครั้ง
5. ทำ CPR ต่อเนื่องหลังการช็อก
- ทันทีหลังช็อก ให้ทำ การปั๊มหัวใจ (CPR) ต่อทันที ตามจังหวะที่เครื่องแนะนำ
- ปั๊มเป็นเวลา 2 นาที (ประมาณ 5 รอบการกด 30 ครั้งและเป่าปาก 2 ครั้ง)
- จากนั้นเครื่องจะให้วิเคราะห์ซ้ำอีกครั้งโดยอัตโนมัติ
ทำขั้นตอนนี้วนซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่า
- ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวหรือหายใจเอง
- ทีมแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินมาถึง
เคล็ดลับการใช้ AED อย่างปลอดภัย
- ใช้เฉพาะกับผู้ที่ “หมดสติ ไม่หายใจ และไม่มีชีพจร” เท่านั้น
- หากผู้ป่วยมีขนหน้าอกหนามาก ให้โกนหรือปาดออกก่อนติดแผ่นนำไฟฟ้า
- ห้ามใช้ในที่เปียกหรือพื้นโลหะ
- ห้ามสัมผัสผู้ป่วยในระหว่างการวิเคราะห์หรือช็อกไฟฟ้า
- ตรวจสอบแบตเตอรี่และอุปกรณ์ของเครื่อง AED อย่างสม่ำเสมอ
การใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) เป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ เพียงทำตามคำแนะนำของเครื่องและรักษาความปลอดภัย ก็สามารถช่วยชีวิตผู้ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้