ข้อดีของการตรวจเต้านม ด้วยแมมโมแกรมที่ผู้หญิงต้องรู้

ในยุคปัจจุบัน ผู้หญิงหลายคนใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ดูแลครอบครัว หรือจัดการกับภาระหน้าที่ต่าง ๆ จนบางครั้ง “การดูแลสุขภาพตัวเอง” โดยเฉพาะเรื่องการตรวจเต้านม ถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย ความจริงแล้วมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยตรวจเต้านมมาก่อนเลย เพราะคิดว่ายังไม่มีอาการผิดปกติ หรืออายุยังไม่มากพอที่จะกังวล แต่ในความเป็นจริง มะเร็งเต้านมสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย และมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น ดังนั้นการตรวจคัดกรองด้วยการอัลตราซาวด์เต้านม (Ultrasound Breast) และทำแมมโมแกรม (Mammogram) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยค้นหาความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่โรคจะลุกลาม และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ประสบความสำเร็จสูงขึ้น
มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิงไทย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี แต่หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสรักษาหายมีสูงมากกว่า 90% ดังนั้น การตรวจคัดกรองเต้านมด้วยแมมโมแกรม จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้จัก
แมมโมแกรมคืออะไร?
แมมโมแกรม (Mammogram) คือการตรวจเอกซเรย์เต้านม โดยใช้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป สามารถให้ภาพที่คมชัดและแสดงรายละเอียดโครงสร้างภายในเต้านมได้อย่างชัดเจน จึงช่วยในการตรวจหาความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ ซีสต์ หรือแคลเซียมเกาะในเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งเต้านม
ข้อดีของการตรวจแมมโมแกรม
- ได้ภาพเอกซเรย์ที่คมชัด และแม่นยำ
แมมโมแกรมสามารถแสดงรายละเอียดของโครงสร้างภายในเต้านมได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นก้อนเนื้อ แคลเซียมเกาะ หรือความผิดปกติเล็กน้อยที่ไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการคลำ ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำมากขึ้น - ใช้รังสีปริมาณต่ำกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป 30–60%
แม้จะเป็นการตรวจด้วยรังสีเอกซเรย์ แต่ปริมาณรังสีที่ใช้ต่ำมาก จึงปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้ผู้หญิงสามารถตรวจเป็นประจำทุกปีได้อย่างมั่นใจ - มีประสิทธิภาพตรวจมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
มะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการใดๆ การตรวจแมมโมแกรมจึงมีประโยชน์อย่างมาก เพราะช่วยตรวจพบได้ตั้งแต่ยังไม่คลำเจอหรือไม่มีอาการผิดปกติ ซึ่งหากรักษาตั้งแต่ต้น โอกาสหายขาดมีสูงถึงกว่า 90% - หารอยโรคขนาดเล็กได้ แม้ไม่แสดงอาการ
แมมโมแกรมสามารถตรวจพบก้อนหรือรอยโรคเล็กระดับมิลลิเมตร รวมถึงแคลเซียมเกาะในเนื้อเยื่อเต้านม ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งเต้านมได้ ก่อนที่จะขยายตัวเป็นก้อนใหญ่ - ไม่ต้องงดอาหารหรือน้ำก่อนตรวจ
ต่างจากการตรวจบางชนิดที่ต้องเตรียมร่างกายอย่างเข้มงวด การตรวจแมมโมแกรมไม่ต้องงดอาหารหรือน้ำ ทำให้สะดวก ไม่ยุ่งยาก และสามารถเข้ารับการตรวจได้ทันทีเมื่อต้องการ
ใครควรตรวจแมมโมแกรม?
- ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจเป็นประจำทุก 1–2 ปี
- ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม เช่น แม่ พี่สาว หรือน้องสาว ควรเริ่มตรวจเร็วกว่าปกติ
- ผู้ที่มีความผิดปกติของเต้านม เช่น คลำเจอก้อน เจ็บ คัดเต้านม หัวนมมีเลือดหรือของเหลวผิดปกติ
- ผู้ที่เคยตรวจพบซีสต์หรือก้อนเนื้อ ควรติดตามอย่างสม่ำเสมอ
ข้อจำกัดของการตรวจแมมโมแกรม
- ในผู้หญิงที่มีเต้านมหนาแน่น (พบได้บ่อยในวัยอายุน้อย) การตรวจอาจเห็นรอยโรคได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ อัลตราซาวนด์เต้านม (Ultrasound Breast) ร่วมด้วย
- อาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยขณะทำการตรวจ เนื่องจากต้องกดเต้านมเพื่อให้ได้ภาพที่ชัด
- ไม่สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่ช่วยให้ตรวจเจอเร็วขึ้น
การเตรียมตัวก่อนตรวจแมมโมแกรม
- หลีกเลี่ยงการทา โลชั่น แป้งฝุ่น สเปรย์ระงับกลิ่นกาย หรือโรลออน บริเวณเต้านมและรักแร้ เพราะอาจทำให้ภาพไม่ชัด
- ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการตรวจคือ วันที่ 7–14 หลังจากหมดประจำเดือน เพราะเต้านมไม่คัดตึง
- หากพบความผิดปกติ เช่น มีก้อน เจ็บ หรือหัวนมผิดปกติ ควรแจ้งแพทย์ทันที
- ผู้ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ หรือเคยผ่าตัดเสริมหน้าอก ต้องแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ก่อนตรวจ
- หากมีผลตรวจเก่า ควรนำมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น
การตรวจแมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากในการคัดกรองมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัว ควรเข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ เพราะ “การพบเร็ว รักษาได้เร็ว และโอกาสหายสูง