พ่อแม่ต้องระวัง โรคไอกรน แพร่ระบาดง่ายในเด็กเล็ก
โรคไอกรนกำลังระบาดเพิ่มขึ้นในเด็กเล็ก มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เด็กเกิดอาการไอเรื้อรังและหายใจลำบาก โรคนี้อันตรายสำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีน การป้องกันที่สำคัญคือการฉีดวัคซีนป้องกันไอกรนตั้งแต่วัยทารก นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยและหากพบอาการดังกล่าวควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง
โรคไอกรนคืออะไร
ไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งติดต่อโดยการไอ จาม หรือรับเชื้อผ่านละอองฝอยของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ โรคนี้พบมากในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยเฉพาะทารกและเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง
อาการของโรคไอกรน
อาการของไอกรนเริ่มต้นคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เช่น มีน้ำมูก และไอแห้งๆ หลังจากนั้นอาการไอจะรุนแรงขึ้น โดยมีการไอต่อเนื่องเป็นชุดๆ 5-10 ครั้ง ตามด้วยการหายใจเข้าเสียงดังคล้ายเสียง “วู้บ” ซึ่งอาการไออย่างต่อเนื่องนี้อาจทำให้หน้าเขียว และหายใจไม่ทัน โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม และภาวะชักได้ง่าย
วิธีการรักษา
เมื่อมีอาการที่เข้าข่ายเป็นโรคไอกรน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาทันที โดยแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ สำหรับการดูแลตัวเองควรปฏิบัติดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำอุ่นเพื่อบรรเทาอาการไอ
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไอ จาม เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีฝุ่นละออง หรือสารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
วิธีการป้องกัน
การฉีดวัคซีนป้องกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไอกรน โดยเด็กเล็กควรได้รับวัคซีนตามกำหนดดังนี้
- ครั้งที่ 1 เริ่มเมื่ออายุ 2 เดือน
- ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4 เดือน
- ครั้งที่ 3 เมื่ออายุ 6 เดือน
- ครั้งที่ 4 เมื่ออายุ 18 เดือน
- ครั้งที่ 5 ฉีดวัคซีนกระตุ้นเมื่ออายุ 4 ปี
โดย ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายเกี่ยวกับโรคไอกรนและการระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ใน 15 ข้อหลัก สรุปได้ดังนี้
- ไอกรนเกิดจากเชื้อ Bordetella pertussis และเป็นโรคทางเดินหายใจที่มีอาการไอเรื้อรัง โรคนี้อันตรายในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ แต่ในเด็กโตและผู้ใหญ่จะไม่รุนแรง
- วัคซีนไอกรนใช้มานานกว่า 50 ปี ป้องกันโรคได้ดีในเด็กเล็ก มีการให้วัคซีนหลายครั้งตั้งแต่ 2 เดือนจนถึง 4 ขวบ
- วัคซีนที่ฉีดมี 2 ชนิด ชนิดเซลล์ทั้งตัวและชนิดไร้เซลล์ ซึ่งชนิดไร้เซลล์ราคาแพงและมีอาการข้างเคียงน้อย
- วัคซีนทั้ง 2 ชนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่แตกต่างกัน แต่ชนิดเซลล์ทั้งตัวช่วยป้องกันการเกาะติดของเชื้อได้ดี
- ภูมิต้านทานในเด็กจะสูงในช่วง 10 ปีแรก หลังจากนั้นจะลดลงโดยเฉพาะในวัยรุ่น
- การตรวจหาเชื้อไอกรนง่ายขึ้นด้วยเทคโนโลยี PCR แต่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้บางคนเลือกที่จะตรวจ
- การตรวจบ่อยๆ อาจพบเชื้อหลายชนิด โดยอาจไม่ก่อโรคหรือทำให้เกิดอาการรุนแรง
- การพบเชื้อไอกรนในเด็กโตและผู้ใหญ่มากขึ้นเนื่องจากการตรวจที่ทำได้ง่าย แต่ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาหรือปิดโรงเรียน
- เมื่อมีการระบาดในโรงเรียนที่ตรวจเชื้อได้ จะพบการระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีความสามารถในการตรวจ
- การปิดโรงเรียนเมื่อมีการระบาดไม่จำเป็น เพราะโรคนี้มีความรุนแรงต่ำในเด็กโตและสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน
- หากพบการระบาด ควรใช้ยาปฏิชีวนะรักษาและกระตุ้นวัคซีนในเด็กโตและผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
- การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันโรคไอกรนได้อย่างน้อย 10 ปี โดยไม่มีความจำเป็นต้องปิดโรงเรียน
- การปิดโรงเรียนไม่ช่วยป้องกันการระบาดในระยะยาว เนื่องจากเชื้อมีระยะฟักตัว 7-10 วัน
- การตรวจหาเชื้อหลายชนิดพร้อมกันอาจไม่ช่วยให้การรักษาดีขึ้น นอกจากในกรณีที่มีอาการรุนแรง
- การตัดสินใจในเรื่องนี้ควรพิจารณาจากสถานการณ์และข้อมูลทางวิชาการ ไม่ควรตื่นตระหนก