วัคซีนที่ควรรู้ก่อนและระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อสุขภาพคุณแม่และลูกน้อย
วัคซีนมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงของภาวะรุนแรงที่อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือหลังคลอดได้ ดังนั้นคุณแม่ควรเตรียมตัวด้วยการรับวัคซีนที่จำเป็นทั้งก่อนและระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยทั้งแม่และลูกน้อย
วัคซีนก่อนตั้งครรภ์
- วัคซีนอีสุกอีใส
- จำนวน : 2 เข็ม
- ระยะเวลา : ฉีดห่างกัน 1 เดือน
- ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์ 2 เดือน
หากคุณแม่ตั้งครรภ์ติดเชื้อในช่วง 3 เดือน อาจส่งผลให้ทารกเกิดความพิการได้ เช่น สมองฝ่อ มีความผิดปกติของกระดูกขา และผิวหนัง
- วัคซีนหัด - หัดเยอรมัน - คางทูม
- จำนวน : 1 เข็ม
- ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์ 3 เดือน
- ไม่ควรฉีดขณะตั้งครรภ์
วัคซีนที่รวม 3 โรคไว้ในเข็มเดียว ซึ่งจำเป็นต้องฉีดเพื่อป้องกันโรค แต่ไม่แนะนำให้ฉีดขณะตั้งครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ ความรุนแรงของ 3 โรคนี้ที่มีผลต่อทารกในครรภ์มีดังต่อไปนี้
- -โรคหัด หากติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด
- โรคหัดเยอรมัน หากติดเชื้อขณะตั้งครรภ์อาจเสี่ยงต่อการแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด ทารกเสียเสียชีวิตในครรภ์ หรือทารกพิการตั้งแต่กำเนิด เช่น หูหนวก ตาบอด หรือมีความผิดปกติของหัวใจและระบบประสาท โดยเฉพาะหากติดเชื้อก่อน 20 สัปดาห์ หรือในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โอกาสที่ทารกจะพิการมีสูงขึ้น
- โรคคางทูม หากติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือมีความพิการของหัวใจ
- วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
จำนวน : 3 เข็ม
ระยะเวลา : ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 2 เดือน จากนั้นอีก 6 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 3
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในผู้หญิง รองจากมะเร็งเต้านม หากคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรถ์ เนื่องจากการรักษาที่ต้องใช้การฉายรังสีเพื่อรักษาคุณแม่ การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70 - 90%
วัคซีนระหว่างตั้งครรภ์
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
จำนวน : 3 เข็ม
ระยะเวลา : ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน จากนั้นอีก 6 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 3
หากคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่เคยได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี หรือเจาะเลือดแล้วพบว่าไม่มีภูมิต้านทาน โดยเฉพาะในกรณีที่มีความเสี่ยง เช่น สามีเป็นพาหะของโรค ควรรีบฉีดวัคซีนโดยเร็วเพื่อป้องกันการอักเสบที่อาจทำให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย และเสี่ยงต่อภาวะตับวาย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น มะเร็งตับหรือตับแข็งในอนาคต วัคซีนนี้จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้คุณแม่และลูกหลังคลอดได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม แม่ตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยสำหรับทั้งแม่และทารกในครรภ์
- วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก
จำนวน : 1 เข็ม
ควรฉีดวัคซีนขณะอายุครรภ์ 27 - 36 สัปดาห์
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนรับวัคซีนนี้ แม้จะเคยฉีดมาแล้วก็ตาม โดยเป็นวัคซีนรวม 3 โรคในเข็มเดียว การฉีดวัคซีนนี้สำคัญสำคัญสำหรับแม่ตั้งครรภ์มาก
- โรคคอตีบ สามารถทำให้เกิดการอุดตันทางเดินหายใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตทั้งแม่และลูก ส่วนโรค
- โรคไอกรน เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับทารกแรกเกิด ดังนั้นการฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันทารกจากโรคนี้ได้
- วัคซีนป้องกันบาดทะยัก ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ และขณะคลอด
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
จำนวน : 1 เข็ม
ควรฉีดวัคซีนขณะอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ขึ้นไป
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สร้างความเสี่ยงสูงมากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ หากติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ปอดบวม เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หรือหัวใจวาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตของทั้งแม่และทารกในครรภ์
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยป้องกันคุณแม่ ยังช่วยส่งต่อภูมิคุ้มกันไปยังทารก ทำให้ลูกได้รับการป้องกันจากโรคนี้ไปอีก 6 เดือนหลังคลอด
ดังนั้นเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปฝากครรภ์ทันที เพื่อให้สูตินรีแพทย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวัคซีนที่จำเป็นในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์ รวมถึงการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อดูแลสุขภาพคุณแม่และลูกอย่างเหมาะสมตามอายุครรภ์