โรคไข้เลือดออก ซื้อยากินเองอันตรายถึงชีวิต
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีการติดเชื้อตลอดทั้งที แต่จะเริ่มสูงขึ้นช่วงเม.ย.-พ.ค. โดยมีจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกปี คาดว่าในปี 2567 นี้ ยอดผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกนั้นจะสูงมากกว่าเดิม และโรคไข้เลือดออกพบการเสียชีวิตมากในผู้ใหญ่ เพราะการติดเชื้อครั้งที่สองจะมีอาการรุนแรงมาก ส่วนสาเหตุการติดเชื้อซ้ำเนื่องจากไข้เลือดออกมีถึง 4 สายพันธุ์ ดังนั้นเราจึงสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง
ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียารักษา ควรสังเกตอาการป่วยของตนเองหรือคนในครอบครัว หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน เช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลงให้คิดว่าอาจป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกได้ ที่สำคัญที่ควรซื้อยาทานเอง เช่น ไอบูโพรเฟน เอ็นเสด สเตียรอยด์ เพราะทำให้เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่ายและอาจถึงแก่ชีวิตได้
โรคไข้เลือดออกมีการกำเนิดโรคเป็น 3 ระยะ
- ระยะไข้ ผู้ป่วยทุกรายจะมีไข้สูงลอยในระยะนี้จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ปวดข้อ ปวดกระดูก ร่วมด้วยประมาณ 2-7 วัน
- ระยะวิกฤติ จะเกิดช่วงปลายระยะไข้จนถึงระยะไข้ลด ประมาณ 24-48 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีเกร็ดเลือดต่ำลงมาก มีอาการรั่วของพลาสมาออกนอกหลอดเลือด ทำให้ผู้ป่วยมีระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวหรือเกิดภาวะช็อกขึ้น มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น เลือดออกในสมอง ในปอด ในระบบทางเดินอาหารหรือมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด น้ำในช่องท้องได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ระยะฟื้นตัว เมื่อเข้าสู่ระยะฟื้นตัวผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตปกติ อาจมีผื่นเป็นวงกลมๆ สีขาว ของผิวหนังปกติ ท่ามกลางผื่นสีแดงร่วมด้วย
การปฏิบัตตัวเมื่อเป็นไข้เลือดออก
- ระยะที่มีไข้สูง ควรเช็ดตัวลดไข้อยู่เสมออาจให้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ร่วมด้วย
- ดื่มน้ำชดเชยให้เพียงพอ
- ระมัดระวังการกระทบกระแทก การเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งอาจทำให้เกิดเลือดออกง่าย
- ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาแอสไพริน เป็นต้น
- หากผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ควรไปตรวจติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอและมีญาติดูแลอย่างใกล้ชิด
