“หัด” โรคใกล้ตัวในเด็กเล็ก
โรคหัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กที่มีอายุน้องกว่า 6 ปี ซึ่งโรคนี้หากเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อาจทำให้ได้รับอันตรายร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 6 เท่า โดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในอาการจากการไอ จาม ของผู้ป่วยหรือจากการสัมผัสน้ำมูกและน้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง
ดังนั้นผู้ปกครอบควรหมั่นสังเกตอาการของลูก หากมีอาการน่าสงสัยหรือผิดปกติ ควรพาลูกมาพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาและคลายความกังวลให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้
สาเหตุของโรคหัด
โรคหัด เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Rubeola Virus เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายโดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในอาการจากการไอ จามของผู้ป่วยหรือจากการสัมผัสน้ำมูกและน้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง เชื้อไวรัสหัดสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงสองชั่วโมงในอากาศ หรือบนพื้นผิวสิ่งของที่มือของผู้ป่วยที่มีเชื้อติดอยู่สัมผัส
อาการของโรคหัด
โรคหัดจะมีอาการคล้ายกับหวัด โดยเริ่มมีอาการประมาณ 10 วัน หลังติดเชื้อจะมีอาการดังต่อไปนี้
- อาการคล้ายหวัด เช่น คัดจมูก ไอ จาม
- ปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล
- มีไข้สูง 40 องศาเซลเซียส
- ปวดกล้ามเนื้อ
- เบื่ออาหาร
- เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- เกิดจุดสีเทาขาวภายในกระพุ้งแก้ม
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด
โดยส่วนใหญ่แล้วอาการแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่
- หูชั้นกลางอักเสบ
- ปอดอักเสบ
- สมองอักเสบ
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า6 ปี
- ผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว และผู้ติดเชื้อเอชไอวี
การรักษาโรคหัด
เนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสโรคหัด ดังนั้นหากเด็กเป็นโรคหัด ให้ดูแลเหมือนเป็นไข้หวัด คือ ดูแลประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ดื่มน้ำและพักผ่อนมากๆ เน้นให้เด็กทานอาหารที่มีโปรตีน หากมีไข้ให้กินยาพาราเซตามอลในปริมาณที่แพทย์แนะนำ และเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ