โรคหลอดเลือดสมอง รู้เร็ว รักษาได้ทัน
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke คือภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากสมองตีบ อุดตัน หรือมีเลือดออกในสมอง หรืออาการเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน ส่งผลให้สมองตาย
จากการสำรวจโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคอันดับ 2 ที่มีอัตราการเสียชีวิตของคนไทย รองจากโรคมะเร็ง แม้ส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มคนที่อายุมาก เนื่องจากหลอดเลือดเสื่อมตามวัย แต่คนทุกเพศทุกวัยก็สามารถเป็นได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นการทราบถึงสาเหตุ รู้วิธีการป้องกัน และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้
สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
1. หลอดเลือดในสมองเสื่อม หรือหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนังชั้นในหลอดเลือดแดงเสื่อมจากการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไขมัน โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
2. หลอดเลือดแดงสมองอุดตันจากลิ่มเลือด หรือชิ้นส่วนของไขมันที่หลุดลอยมา ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ การมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคของลิ้นหัวใจ หรือภาวะหัวใจโต
3. หลอดเลือดแดงสมองแตก จากภาวะความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือควบคุมไม่ได้ดี หรือเส้นเลือดโป่งพอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค
1. ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เนื่องจากไปทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ หลอดเลือดจึงแตกง่าย
2. การสูบบุหรี่ จะลดปริมาณออกซิเจน และเพิ่มความหนืดของหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆไม่พอโดยเฉพาะสมอง จึงทำให้เกิดอัมพาตได้
3. มีน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น และตีบแคบทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
4. ไขมันในเลือดสูง ทั้งโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ทำให้เกิดเป็นก้อนไขมันเกาะติดกับผนังหลอดเลือด ทำให้หนาตัวขึ้นและหลอดเลือดตีบแคบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
5. การบริโภคที่ไม่ถูกต้อง โรคอ้วนจากกับรับประทานอาหารมากเกินไป การทานอาหารที่มีเกลือ และไขมันสูง การดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นประจำ จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากขึ้น
6. ประวัติเป็นโรคหัวใจ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากขึ้น ต้องควบคุมให้อยู่ในภาวะปกติ
7. กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีพ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงและมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็น
อาการของโรคหลอดเลือดในสมอง
1. มีอาการอ่อนแรงที่ใบหน้า เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หลับตาไม่สนิท หรือชาที่ใบหน้า
2. มีอาการแขนขาอ่อนแรงอย่างเฉียบพลันโดยมักเป็นครึ่งซีก
3. มีอาการแขนขาชาอย่างเฉียบพลัน มักจะเป็นซีกใดซีกหนึ่งของร่างหาย
4. พูดไม่ออก หรือฟังไม่เข้าใจ รวมทั้งพูดลำบาก หรือพูดไม่ชัด
5. มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น
6. มีอาการปวดศีรษะรุนแรงอย่างเฉียบพลัน โดยที่ไม่มีสาเหตุ
7. มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ซึมลง เรียกไม่รู้ตัว
8. มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน
9. มีอาการเดินเซ เดินลำบาก การทรงตัวไม่ดีอย่างเฉียบพลัน
Fast Stroke คือ อีกหนึ่งวิธีในการสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดว่ามีอาการของโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ โดยให้สังเกตอาการ F.A.S.T ดังนี้
F Face : ใบหน้า
อาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว น้ำลายไหลออกจากมุมปาก
A Arm : แขน
อาการอ่อนแรงของแขน ขา ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
S Speak : การพูด
การพูดลำบาก พูดติดๆขัดๆ พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก
T Time : เวลา
รู้เวลาที่เกิดอาการผิดปกติ คือรู้ว่าเริ่มมีอาการเป็นเวลาเท่าไหร่นับจากที่มีอาการผิดปกติ หรือนับจากเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการปกติเป็นครั้งสุดท้าย และควรรีบมาโรงพยาบาลให้ทันภายใน 4.5 ชั่วโมง เนื่องจากบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสฟิ้นตัวจากความพิการได้
จากการสำรวจโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคอันดับ 2 ที่มีอัตราการเสียชีวิตของคนไทย รองจากโรคมะเร็ง แม้ส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มคนที่อายุมาก เนื่องจากหลอดเลือดเสื่อมตามวัย แต่คนทุกเพศทุกวัยก็สามารถเป็นได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นการทราบถึงสาเหตุ รู้วิธีการป้องกัน และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้
สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
1. หลอดเลือดในสมองเสื่อม หรือหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนังชั้นในหลอดเลือดแดงเสื่อมจากการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไขมัน โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
2. หลอดเลือดแดงสมองอุดตันจากลิ่มเลือด หรือชิ้นส่วนของไขมันที่หลุดลอยมา ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ การมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคของลิ้นหัวใจ หรือภาวะหัวใจโต
3. หลอดเลือดแดงสมองแตก จากภาวะความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือควบคุมไม่ได้ดี หรือเส้นเลือดโป่งพอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค
1. ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เนื่องจากไปทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ หลอดเลือดจึงแตกง่าย
2. การสูบบุหรี่ จะลดปริมาณออกซิเจน และเพิ่มความหนืดของหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆไม่พอโดยเฉพาะสมอง จึงทำให้เกิดอัมพาตได้
3. มีน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น และตีบแคบทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
4. ไขมันในเลือดสูง ทั้งโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ทำให้เกิดเป็นก้อนไขมันเกาะติดกับผนังหลอดเลือด ทำให้หนาตัวขึ้นและหลอดเลือดตีบแคบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
5. การบริโภคที่ไม่ถูกต้อง โรคอ้วนจากกับรับประทานอาหารมากเกินไป การทานอาหารที่มีเกลือ และไขมันสูง การดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นประจำ จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากขึ้น
6. ประวัติเป็นโรคหัวใจ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากขึ้น ต้องควบคุมให้อยู่ในภาวะปกติ
7. กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีพ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงและมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็น
อาการของโรคหลอดเลือดในสมอง
1. มีอาการอ่อนแรงที่ใบหน้า เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หลับตาไม่สนิท หรือชาที่ใบหน้า
2. มีอาการแขนขาอ่อนแรงอย่างเฉียบพลันโดยมักเป็นครึ่งซีก
3. มีอาการแขนขาชาอย่างเฉียบพลัน มักจะเป็นซีกใดซีกหนึ่งของร่างหาย
4. พูดไม่ออก หรือฟังไม่เข้าใจ รวมทั้งพูดลำบาก หรือพูดไม่ชัด
5. มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น
6. มีอาการปวดศีรษะรุนแรงอย่างเฉียบพลัน โดยที่ไม่มีสาเหตุ
7. มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ซึมลง เรียกไม่รู้ตัว
8. มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน
9. มีอาการเดินเซ เดินลำบาก การทรงตัวไม่ดีอย่างเฉียบพลัน
Fast Stroke คือ อีกหนึ่งวิธีในการสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดว่ามีอาการของโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ โดยให้สังเกตอาการ F.A.S.T ดังนี้
F Face : ใบหน้า
อาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว น้ำลายไหลออกจากมุมปาก
A Arm : แขน
อาการอ่อนแรงของแขน ขา ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
S Speak : การพูด
การพูดลำบาก พูดติดๆขัดๆ พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก
T Time : เวลา
รู้เวลาที่เกิดอาการผิดปกติ คือรู้ว่าเริ่มมีอาการเป็นเวลาเท่าไหร่นับจากที่มีอาการผิดปกติ หรือนับจากเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการปกติเป็นครั้งสุดท้าย และควรรีบมาโรงพยาบาลให้ทันภายใน 4.5 ชั่วโมง เนื่องจากบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสฟิ้นตัวจากความพิการได้